Blogger news

Unigang

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Phonetics song

Phonetics song 



    วันนี้มีเพลงที่สอนเรื่องการออกเสียงตัวอักษรแต่ละตัวในภาษาอังกฤษมาให้ฟังกันนะคะ ลองฟังดูนะคะ สนุกสนาน และช่วยให้เราออกเสียงที่ถูกต้องด้วยนะคะ ไปด้วย 


ขอบคุณที่มาจาก http://www.youtube.com/watch?v=8Ak7O6c8wVc

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

How to learn English

วิธีการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ




 วันนี้เรามาเรียนรู้วิธีการเรียนภาษาอังกฤษ จากคลิปนี้ ลองชมดูนะคะ 

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

10 ภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก

10 ภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก




                    

        มาดูจำนวนผู้ใช้ภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกจากการสำรวจของ internetworldstats.com นะคะ
การสำรวจแบ่งเป็น 2 ประเภท  คือ ภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลก และ ภาษาที่มีคนใช้ทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลก 

10 ภาษาที่มีคนพูดมากที่สุดในโลก 

อันดับที่ 1 ภาษาจีนกลาง (Mandarin)  มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 873 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 1.3 พันล้านคน  


อันดับที่ 2 ภาษาฮินดี (Hindi/Urdu) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 570 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 970 ล้านคน

อันดับที่ 3 ภาษาสเปน (Spanish) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 330 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 550 ล้านคน

อันดับที่ 4 ภาษาอังกฤษ (English) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 328 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 1.8 พันล้านคน*

อันดับที่ 5 ภาษาอาราบิค (Arabic) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 232 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 260 ล้านคน

อับดับที่ 6 ภาษาโปรตุเกส (Postuguese) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 220 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 230 ล้านคน

อันดับที่ 7 ภาษาเบงกาลี (Bengali) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 203 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 253 ล้านคน

อันดับที่ 8 ภาษารัสเซีย (Russian) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 145 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 300 ล้านคน

อันดับที่ 9 ภาษาญี่ปุ่น (Japanese) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 126 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 130 ล้านคน

อันดับที่ 10 ภาษาปัญจาบี (Punjabi) มีผู้ใช้เป็นภาษาแม่ประมาณ 109 ล้านคน
มีคนที่ใช้ทั่วโลกทั้งหมดประมาณ 120 ล้านคน



ภาษาที่มีคนใช้ทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลก
อันดับที่ 1       ภาษาอังกฤษ    มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 26.8 %

อันดับที่ 2       ภาษาจีนกลาง   มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 24.2 %

อันดับที่ 3       ภาษาสเปน       มีผู้ใช้ทางอินเทอร์เน็ต 7.8 %

และภาษาอื่นๆ  คิดเป็นร้อยละ 26.4 %

ขอบคุณที่มา - http://th.interscholarship.com/tonsung/1440

ขอบคุณข้อมูล : Funders and Founders, internetworldstats.com
แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับการเรียนภาษาต่างประเทศ ?

Interjection คำอุทาน

Interjection คำอุทาน





การอุทาน (Interjection = อินเตอร์เจคชั่น) คือคำพูดที่พูดออกไปด้วยอารมณ์ต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะนั้น เช่น ดีใจ เสียใจ หรือ โกรธ เป็นต้น

รูปแบบของการอุทาน มี 2 ชนิด คือ

1. การอุทานที่เป็นคำเดียวโดดๆ หรือเป็นกลุ่มคำ (วลี) เช่น

1. ประหลาดใจ


- Oh! (โอ) = โอ! ออ! โอ้โฮ!

- Indeed (อินดีด) = จริงๆ! แท้จริง!

- Wow (เวา) = โอ้โฮ!

2. เศร้าใจ


- Alas! (อะแล็ส) = โอย! ตายจริง!

- Ah! (อา) (= อา! โอย!

- Alack! (อะแล็ค) = อนิจจา!

3. ดีใจ


- Hurrah (ฮูรา) = ไชโย!

- Ha! (ฮา) = ฮา!

- Bravo! (บราโว) = ไชโย!

4. รังเกียจ


- Ugh! (อุฮ) = ทุด! ถุย!

5. เหยียดหยาม


- Dam! (แด็ม) = สมน้ำหน้า!

- Pooh! (พู่) = ชึ!

- Bosh! (บ็อช) = เหลวไหล!


6. ติเตียน


- Fie! (ไฟ) = เชอะ! ถุย!

7. เตือนให้ระวัง


- Hark! (ฮ้าค) = ฟัง!

- Hush! (ฮัช) = อย่าทำเสียงดัง!

8. เรียกหรือทักทาย


- Ho! (โฮ) = ฮ้า!

- Hello (เฮ็ลโล) = สวัสดี!

- Hullo (ฮะโล) = ฮัลโหล!

คำอุทานที่เป็นกลุ่มคำได้แก่
Well done! (เว็ล ดัน) = เยี่ยมไปเลย!
Just my luck! (จัสท มาย ลัค) = โชคของผมแท้ๆ!
O dear me! (โอ เดียร์ มี) = โอ่ ได้โปรดเถอะ!

2. การอุทานที่ออกมาในรูปแบบของประโยค เช่น ประโยคอุทานที่ขึ้นต้นด้วย What และ How เช่น

What a pity! (ว็อท อะ พิททิ)

ช่างน่าสงสารอะไรอย่างนั้น
What a mess! (ว็อท อะ เมส)

มันช่างสับสนอะไรอย่างนั้น

What a fool he is!(ว็อท อะ ฟูล ฮี อีส)


เขาช่างโง่อะไรอย่างนั้น!
What a shame you can’t come!

(ว็อท อะ เชม ยู ค้านท คัม)

ช่างน่าอานอะไรอย่างนั้นที่คุณมาไม่ได้!
What an awful noise!

(ว็อท แอน ออฟูล นอยซ)

มันช่างเสียงดังอะไรอย่างนั้น!
What a nuisance! (ว็อท อะ นิวซันซ)

มันช่างน่ารำคาญอะไรอย่างนั้น
What a shame! (ว็อท อะ เชม)

ช่างน่ายอายอะไรอย่างนั้น!
What a pretty girl!

(ว็อท อะ พริททิ เกิล)

เธอช่าน่ารักอะไรอย่างนั้น!
What an expensive dress!

(ว็อท แอน อิ๊คซเพนซีฟว เดรส)

ชุดอะไรช่างแพงอย่างนั้น!
What a large room!

(ว็อท อะ ลาจ รูม)

ห้องอะไรช่างใหญ่อย่างนั้น!
What lovely children! (ว็อท ลัฟลิ ชินเดรน)

ช่างเป็นเด็กที่น่ารักอะไรอย่างนั้น
What delicious food it is!

(ว็อท ดิลิซซัส ฟูด อิท อีส)

มันช่างเป็นอาหารที่อร่อยอะไรอย่างนั้น!
How nice of you to come!

(ฮาว ไนซ ออฟ ยู ทู คัม)

ช่างดีเหลือเกินที่คุณมาได้!


How cold this room is!

(ฮาว โคลด ธิส รูม อีส)

ห้องนี้ช่างหนาวะไรอย่างนั้น!
How strong he is!

(ฮาว สตรอง ฮี อีส)

เขาช่างแข็แรงอะไรอย่างนั้น!
How quickly the time passes!

(ฮาว ควิคลี่ เธอะ ไทม พาสเสซ)

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วอะไรอย่างนั้น!
How heavy it rains!

(ฮาว เฮ็ฟวี่ อิท เรนส)

ฝนช่างตกหนักอะไรอย่างนั้น!

ประโยคอุทาน บางอย่างก็ขึ้นต้นด้วยคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เช่น
Away you go! (อะเวย์ ยู โก)

แกออกไปซะ!
Here it comes! (เฮีย อิท คัมส)

มานี่แล้วไง
There they are! (แธร์ เธย์ อาร์)

พวกเขาอยู่ที่นั่นเอง
There goes the bus!

(แธร์ โกส เธอะ บัส)

รถโดยสารไปโน่นแล้ว





นอกจากนี้ประโยคอุทาน ยังใช้เพื่อการอวยพร หรือแสดงความยินดีได้อีกด้วย เช่น
Long live the King.

(ลอง ลีฟ เธอะ คิง)

ขอจงทรงพระเจริญ
God save you. (กอด เซฟว ยู)

ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณ
Have a good trip.

(แฮ็ฟ อะ กูด ทริพ)

ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย
Best of luck. (เบสท ออฟ ลักค)

ขอให้โชคดี
ที่มา

Conjunction คำสันธาน

Conjunction คำสันธาน




Conjunction คำสันธาน

 คำสันธานคือ คำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน

1. Coordinate Conjunction      คำสันธานเชื่อมข้อความเสมอกัน

Coordinate Conjunction คือ คำสันธานที่ใช้เชื่อม 2 ประโยคเข้าด้วยกันในลักษณะเสมอกัน คือถ้าแยกแต่ละข้อความออกจากกันยังมีความหมายเป็นที่เข้าใจได้

แบบคล้อยตาม
 คำสันธาน ตัวอย่าง
 And และHe is tall and handsome
เขาทั้งสูงและรูปหล่อ 
 And also และยังอีกด้วย Jim is tired and also hungry
จิมทั้งเหนื่อยและหิว
 And…too และด้วย Ladda was beautiful and wise too
ลัดดาทั้งสวยและเก่งด้วย
 As well as และ Dang as well as Somsak are the leaders
แดงและสมศักดิ์เป็นผู้นำ
And…also และยังอีกด้วย  I am tired and sleepy also
ฉันทั้งเหนื่อยและง่วงนอนอีกด้วย
 Both…and ทั้งและ Suriya likes to eat both rice and bread
สุริยะชอบกินทั้งข้าวและขนมปัง
 Not only…but also ไม่เพียงแต่ แต่ยังอีกด้วย


 Jane can speak not only English but also Japanese.
เจนไม่เพียงแต่พูดภาษาอังกฤษได้ แต่ยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้อีกด้วย


แบบขัดแย้งกัน
คำสันธาน                                              ตัวอย่าง




 But แต่


Aran likes football but his wife likes tennis.
อรัญชอบฟุตบอลแต่ภรรยาเขาชอบเทนนิส
Yet แม้กระนั้น 



He never worked hard yet he gained all prize.
เขาไม่เคยทำงานหนัก แม้กระนั้นเขาก็ได้รางวัล
 While ในขณะที่



You like Pepsi while I like coke
คุณชอบดื่มเป๊ปซี่ในขณะที่ฉันชอบดื่มโค้ก

 Still แต่กระนั้น



The pain was bad, still she didn’t complain.
บาดเจ็บหนักมาก แต่กระนั้นเธอก็ไม่เคยบ่น
 Whereas ในขณะนี้



 I like Pepsi, whereas the others hate it.
ฉันชอบดื่มเป๊ปซี่ ในขณะที่คนอื่นๆเกลียด

 Nevertheless แม้กระนั้น




Suda had no income; nevertheless she went on working.
สุดาไม่มีรายได้ แม้กระนั้นเธอก็ยังคงทำงานต่อไป
แบบให้เลือก


Or                                                            หรือ
Or else                                                     มิฉะนั้น
Either…or                                               ไม่…ก็
Neither…. Nor                                        ไม่ทั้ง…และ




คำสันธาน                              ตัวอย่าง
 Or

 Would you like tea or coffee?
       คุณจะรับชาหรือกาแฟ
 Or else

The man must breathe, or else he will die.
       คนเราต้องหายใจ มิฉะนั้นจะต้องตาย
 Either… or

You can take either this book or that one.
คุณจะเอาหนังสือเล่มนี้หรือเล่มนั้นก้ได้
 Neither….nor

I like neither Ladda nor Lalita.
ฉันไม่ชอบทั้งลัดดาและลลิตา
แบบเป็นเหตุผล
So                         ดังนั้น
For                       เพราะว่า
Therefore              ดังนั้น
Accordingly                   ดังนั้น

คำสันธาน                            ตัวอย่าง
So

 You look tired so you should stop working
คุณดูเหนื่อย ดังนั้นคุณควรจะหยุดการทำงาน
For

She is very sad, for she has no money
เธอดูเศร้ามาก เพราะว่าเธอไม่มีเงิน

Therefore

He had a toothache, therefore he didn’t go to work.
เขาปวดฟัน ดังนั้นเขาจึงไม่ไปทำงาน
Accordingly

I was sick, accordingly I didn’t go to school.
ฉันป่วย ดังนั้นฉันจึงไม่ไปโรงเรียน
2.Subordinate Conjunction
 Subordinate conjunction คือ สันธานที่ใช้เชื่อม 2 ประโยคที่มีความสำคัญไม่เท่ากัน ประโยคที่อยู่หลังคำสันธานชนิดนี้จะเป็นประโยครอง ไม่สามารถแยกไปอยู่ตามลำพังได้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
  1. สันธานแสดงสถานที่
  2. สันธานแสดงเวลา
  3. สันธานแสดงเหตุผล
  4. สันธานแสดงวัตถุประสงค์
 สันธานแสดงสถานที่
ได้แก่ Where ที่ซึ่ง, wherever ที่ใดก็ตาม
คำสันธาน                             ตัวอย่าง
Where He will go to the school where his son learns.
 เขาจะไปโรงเรียนที่ลูกชายของเขาเรียนอยู่
 WhereverAraya will live wherever he lives
อารยะจะอยู่ที่ใดก็ตามที่เขาอยู่

สันธานแสดงเวลา
สันธาน                           ตัวอย่าง
After  หลัง

 She slept after you have left her home.
เธอนอนหลับหลังจากคุณออกจากบ้านของเธอ
 Before  ก่อนPoke finished homework before you saw him.
พกทำงานบ้านเสร็จก่อนที่คุณจะพบกับเขา
 During  ระหว่างVicha is sleeping during you are swimming.
วิชากำลังนอนหลับในระหว่างคุณกำลังว่ายน้ำ
 Until  จนกระทั่งHe would be there until she gets home.
เขาจะอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเธอมาถึงบ้าน
 When  เมื่อI was swimming when he was shot.
ฉันกำลังว่ายน้ำอยู่เมื่อเขาถูกยิง
 Whenever เมื่อใดก็ตามShe will cry whenever you leave her.
หล่อนจะร้องไห้เมื่อใดก็ตามที่คุณทิ้งเธอ
 As long as ตราบเท่าที่I will love you as long as you love me.
ฉันจะรักคุณตราบเท่าที่คุณรักฉัน
 Since  ตั้งแต่Somsri was sick since she has stayed here.
สมศรีป่วยตั้งแต่เธอมาพักอาศัยอยู่ที่นี่
คำสันธานแสดงเหตุผล
คำสันธาน                     ตัวอย่าง
 Because  เพราะว่าHe had a stroke because he didn’t relax.
เขาเป็นลมเพราะว่าเขาไม่ได้พักผ่อน
Since เนื่องจากShe was sick since she has worked too hard.
เธอป่วยเนื่องจากทำงานหนักเกินไป
 Though ถึงแม้ว่าI won’t love her though she is beautiful.
ผมจะไม่รักเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะสวย

Although  ถึงแม้ว่า
Ladda won’t help although he requests her.
ลัดดาจะไม่ช่วยถึงแม้ว่าเขาจะขอร้อง
 Why เพราะเหตุใดI don’t know why she hates me.
ผมไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงเกลียดผม
 How  อย่างไรShe knows how he loves her.
เธอรู้ว่าเขารักเธออย่างไร
If ถ้า หรือ หาก Dang won’t praise her if he knows the truth.
แดงจะไม่ยกย่องเธออีกต่อไปถ้าเขารู้ความจริง
 Whether หรือไม่He doesn’t know whether she will come.
เขาไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือไม่
คำสันธานแสดงวัตถุประสงค์
คำสันธาน                       ตัวอย่าง
 That  เพื่อว่าHe works hard that she would love him.
เขาทำงานหนักเพื่อว่าเธอจะรักเขา
 So that เพื่อที่ว่าI tried hard so that I will past the exam.
ฉันเรียนหนักเพื่อว่าผมจะสอบผ่าน
 In order that  เพื่อที่ว่า


She came here in order that she might see me.
เธอมาที่นี่เพื่อที่ว่าเธอจะได้พบกับผม



As  ตามที่


He will do as she has told him.
เขาจะทำตามที่เธอบอกเขา

 As if  ราวกับว่าHe acted as if he were the Prime Minister.
เขาแสดงราวกับว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรี
 Lest  ด้วยเกรงว่า






Dang took care of June lest she would suicide.
แดงดูแลจุนด้วยเกรงว่าเธอจะฆ่าตัวตาย



http://www.l3nr.org/posts/364344

Preposition คำบุพบท

Preposition คำบุพบท









Prepositions (คำบุพบท).jpg


บุพบท คือ คำเชื่อระหว่างกริยา, นาม, สรรพนาม หรือ คำอื่นใด เพื่อบอกสถานที่ , เวลา , ทิศทาง และอื่นๆ แบ่งตามลักษณะ


Preposition (คำบุรพบท)

คือคำที่ใช้เชื่อม หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น นามต่อนาม, กริยากับนาม, กริยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม.


Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ.


1. Preposition คำเดียว [Single Preposition].

2. Preposition วลี [Preposition phrase].

Preposition คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่ 44 คำคือ in, on, at, under, to, from, of, off, since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from…to, with, without, by, up, down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below, underneath, during, between, among, from…until, within, forewards.


Preposition คำเดียว

การใช้ [ in, at, on] บุรพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้.

In: ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น I like to swim in the morning. ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.

At : ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง , noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง เช่น They want home at three o’clock, พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 น.

On : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา เช่น on Sunday, On New Year’s Day , On King’s Birthday. etc.

On time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี). เช่น He come on time. เขามาตรงเวลาพอดี.

In time แปลว่า ทันเวลา (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด). เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา).


การใช้ [at, in] บุรพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้

at : ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัดแน่นอน เช่น at school, at the hotel….

in : ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand. หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้ เช่น In the house, in a country เป็นต้น.


1. Simple preposition-บุพบทคำเดียว

at ที่ by โดย, ข้าง down ลง for เพื่อ, เป็นเวลา

form จาก in ใน on บน of ของ

off หมด past ผ่าน round รอบๆ to ถึง, เพื่อจะ

through ผ่านทะลุ till จนกระทั่ง since ตั้งแต่ up ขึ้น

with กับ, ด้วย until จนกระทั่ง



2. Compound Preposition - บุพบทผสมตั้งแต่ 2 พยางค์ขึ้นไป

about เกี่ยวกับ above เหนือ along ตาม around แถวๆ นี้

across ข้าม against ต่อต้าน after ภายหลัง among ระหว่าง

between ระหว่าง before ก่อน behind ข้างหลัง beside ด้านข้าง

below ด้านล่าง into เข้าไปใน inside ข้างใน outside ข้างนอก

over เหนือ, บน opposite ตรงข้าม out of ออกจาก towards ตรงไปยัง

under ใต้ underneath ภายใต้ without ปราศจาก



3. Participial Preposition - บุพบทที่มีรูป -ing

barring เว้นแต่, นอกจากว่า concerning เกี่ยวกับ, บอกว่า

considering เกี่ยวกับ during ระหว่าง (ใช้กับเวลา)

pending ระหว่าง regarding เกี่ยวกับ

respecting เกี่ยวกับ notwithstanding โดยไม่คำนึงถึง, แม้


4. Phrase Preposition-บุพบทวลี

according to ตาม because of เพราะว่า

by means of โดยอาศัย by reason เนื่องจาก

by way of โดย, เพื่อ for the sake of เพื่อ, เพื่อนเห็นแก่



5.Phrase Preposition - บุพบทวลี
in accordance eith ตาม, ตามที่ in addition to นอกจาก

in (on) behalf of ในนามขแง in case of ถ้าหากว่า, ถ้า



สำนวนเกี่ยวกับเวลา

at first ตอนแรก at last ในที่สุด

at times บางครั้ง, บางเวลา at present ในปัจจุบัน

all day long ตลอดเวลา so far จนถึงปัจจุบัน


คำกริยาบางคำใช้คู่กับบุพบทเสมอ

get up ตื่นนอน get on ขึ้นรถ

look at มองดู look for มองหา

look after ดูแล listen to ฟัง

turn on เปิดไฟ turn off ปิดไฟ

think of คิดถึง talk to คุยกับ

take care of ดูแล, เอาใจใส่ wait for รอคอย

(be) afraid of กลัว (be) angry with โกรธ

weak in อ่อน (ในวิชา) good at เก่ง (ในวิชา)

made from ทำจาก full of เต็มไปด้วย

bored with เบื่อ fond of ชอบ

different from ต่างจาก similar to คล้ายคลึงกับ

interested in สนใจ proud of ภูมิใตกับ



Preposition ต่อไปนี้มีความหมายพิเศษและพบบ่อย


at peace ในยามสงบ at last ในที่สุด

at best อย่างดีที่สุด at worst อย่างเลวที่สุด

at least อย่างน้อยที่สุด at most อย่างมากที่สุด

by land โดยทางบก by sea โดยทางทะเล

by day ในเวลากลางวัน by night ในเวลากลางคืน

by post โดยทางไปรษณีย์ by heart จำได้ขึ้นใจ (ท่อง)

in sight อยู่ในระยะที่มองเห็น in fun โดยตลกเล่น

in play ไม่เอาจริง in a hurry โดยรีบด่วน

on busines ด้วยเรื่องการค้า on purpose โดยจงใจ



http://englishka.wikispaces.com/Prepositions+%E0%B8%84%E0%B8%B2+%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%97

Adverb คำกริยา

Adverb คำกริยา



Adverbs
 Adverbs (คำกริยาวิเศษณ์) คือ คำที่ใช้ขยายคำกริยา (verb) , ขยายคุณศัพท์ (adjective) และขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverb)
หน้าที่ของ Adverb
1. ขยายคำกริยา (verbs) เช่น
    She walks clumsily. (เธอเดินงุ่มงาม)
                v.           adv.
2. ขยายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
        She is very cute.
                    adv.    adj.
3. ขยายคำกริยาวิเศษณ์ (adverbs) เช่น
       
That dog runs very quickly.
                                      adv.    adv.




ชนิดของ Adverb

              1. Adverb of Manner เป็น adverb ที่บอกอาการหรือลักษณะการกระทำ ใช้ตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย How? เช่น hard = หนัก , fast = อย่างเร็ว , happily
 = อย่างมีความสุข  เป็นต้น
          ตำแหน่งอยู่ในประโยคคือ 1. หลังคำกริยา เช่น
I run quickly.
                                                 2. หลังกรรมตรง  เช่น She looks at me angrily.
               * หมายเหตุที่มาของ  Adverb of Manner
                                -- ได้จากการเติม -
ly ข้างท้าย adjective ถ้า adjective ลงท้ายด้วย y หน้า y ไม่ใช่ a , e , o , u ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วจึงเติม -ly
                                -- good เปลี่ยนเป็น well
                                -- บางคำที่เป็นได้ทั้ง adjective และ adverb เช่น hard , fast  , late , early



            2. Adverb of Degree บอกระดับความเข้ม-hน เช่น very = มาก  , quite = ทีเดียว , rather = ค่อนข้าง , almost = เกือบจะ , extremely = อย่างยิ่ง , too = มากไป            ตำแหน่งในประโยค                                 1. ไว้หน้าคำคุณศัพท์  เช่น It's very loud. 
                                 2. ไว้หน้า adverb เช่น She sings very sweetly.



            3.  Adverb of Place บอกสถานที่ เช่น up , down , here , there
          ตัวอย่างประโยค   --   Jim came here yesterday.   ,   We have to go there. (อยู่หลังคำกริยา)
                                     --  
Please bring then inside.


    4. Adverb of Frequency ช้ขยายคำกริยา เพื่อบอกถึงความถี่ของการกระทำ และจะวางไว้หน้าคำกริยานั้นๆด้วย ยกเว้น sometimes อยู่ ต้นประโยคก็ได้
เช่น
        always    สม่ำเสมอ            usually    เป็นประจำ      often บ่อยๆ      
             sometimes
   บางครั้งบางคราว   seldom    นานๆครั้ง     never     ไม่เคย
Examples:    Sandy always goes to school early.
                            Mary usually cooks dinner.
                            We often drink milk.
                            I never go to London.
                            Sometimes I eat pizza for lunch.


           5. Adverb of time บอกเวลา ตอบคำถาม When เช่น Tonight (คืนนี้) , during winter (ระหว่างฤดูหนาว) , early (แต่เช้าตรู) , tomorrow (พรุ่งนี้) ,  yesterday (เมื่อวานนี้) , soon (ในไม่ช้า)
              ตำแหน่งในประโยค --   ไว้ท้ายประโยค
I will go to London next week.
                                          --
   วางไว้ต้นประโยค เมื่อต้องการเน้น เช่น Tomorrow I will fly to Italy.



การเรียงลำดับ adverb หลายคำในประโยคเดียวกัน 


     1. คำกริยาทั่วไป ให้เรียงลำดับดังนี้ เช่น
He worked carefully in the office every day
last year.
 
                                                                                                 (M)                (P)                    (F)               (T)
     2. กริยาที่แสดงความเคลื่อนไหว เช่น My sun sometimes went go to school by bike last month.
             
                                                                    (F)                                          (P)          (M)              (T)
หมายเหตุ          M = Maner
         P = Place
         F = Frequency
         F = Time

 

Adjective คำคุณศัพท์

Adjective คำคุณศัพท์


Adjective คือ คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม  มีดังนิ้

1. Descriptive Adjective   บอกลักษณะคุณภาพของคน สัตว์และสิ่งของเช่น
                   young,  rich, new, god, black, clever, happy
2.Possessive Adjective  แสดงความเป็นเจ้าของเช่น my, your, his, her, their, our, its
3.Quantitativt Adjective  บอกปริมาณมาก้อยของนามที่นับไม่ได้ เช่น some, half, little, enough
4.Numeral Adjective      แสดงจำนวนมากน้อย ของนามที่นับได้หรือแสดงลำดับก่อน-  หลังของคำนามเช่น one , two,   first,  many
5. Demonstrative Adjective    คุณศัพท์ที่ชี้เฉพาะคำนาม เช่น this, that, these, those
6. Interrogative Adjective  คือคำคุณศัพท์ที่แสดงคำถาม เช่น which, whose, what เป็นต้น   จะวางอยู่หน้าประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น
                                       - Which way shall we go ?
                                       - Whose dictionary is this ?
7. Proper Adjective  คือคำคุณศัพท์ที่มาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อประเทศ ทำหน้าที่ ขยายคำนามซึ่งมีความหมายว่า เป็นของ หรือจากประเทศนั้นๆ ตัวอย่างเช่น Which way shall we go?                            
8. Distributive Adjective   แสดงการแบ่งแยกหรือจำแนก  เช่น each, every, either, neither
 
ตำแหน่งของคำคุณศัพท์   ( Positions of Adjective)
1. วางไว้หน้าคำนาม  adjective นั้น ทำหน้าที่ขยายตัวอย่าง เช่น
            *
Peter wears a black suit.
            * Tom is a good guy.
2. วางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs ตัวอย่าง เช่น
            *
The traffic is terrible at 5 o’clock on Friday.
            * He felt tired.
หมายเหตุ
           
Linking Verb คือคำกริยาที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง subject กับ adjective ที่ตามมา ยกตัวอย่างเช่น taste , smell , turn , keep , feel , appear , grow , get , become , go , look , seem , sound เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
            *
The soup tastes good.
            * The rose smells sweet.
            * Uncle’s hair turns grey.

          Adjective ต่อไปนี้วางไว้หน้าคำนามเท่านั้น (ห้ามวางไว้หลัง Verb to be และ Linking Verbs) เช่น
           
main (สำคัญ)                only (เพียง)
            upper (ข้างบน)             former (แต่ก่อน)
            chief (สำคัญที่สุด)         inner (ภายใน)
            outer (ภายนอก)            principal (หลักสำคัญ)
            indoor (ในร่ม)                outdoor (กลางแจ้ง)
            elder (สูงกว่า)                eldest (สูงวัยที่สุด)
            drunken (ขี้เมา)             wooden (ทำด้วยไม้)
            golden (ทำด้วยทอง)
           
 
 หลักการเรียงลำดับ Adjectives
       สำหรับการเรียงลำดับ adjective
หลายคำที่ประกอบคำนามคำเดียว ให้เรียงลำดับดังนี้
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
Article demonstrative possessive
Ordinal (ลำดับที่)
Cardinal(จำนวน)
Quality(คุณภาพ)
Size(ขนาด)
Age(อายุ)
Shape(รูปร่าง)
Color(สี)
Participle
(v.3/v.ing)
Origin (แหล่งที่มา)
Material(วัสดุ)
Noun

 
the
first
two
cute
-
young
-
-
-
-
-
ladies
-
-
many
delicious
big
-
-
green
-
Chinese
-
apples
a
-
-
-
small
-
-
blue
-
-
plastic
chair
those
-
four
-
big
-
-
black
-
-
-
rocks
the
-
-
-
-
old
square
-
broken
French
wooden
table
his
third
-
-
-
-
-
-
boring
-
-
job
****************************************************************